Month: มีนาคม 2023

อนุญาตให้พัก

ฉันกับเพื่อนชื่อซูซี่นั่งอยู่บนโขดหินริมชายหาด มองดูฟองคลื่นที่ซัดขึ้นเป็นเกลียวโค้ง เมื่อมองดูเกลียวคลื่นที่ซัดโขดหินระลอกแล้วระลอกเล่า ซูซี่ประกาศว่า “ฉันรักทะเลเพราะมันเคลื่อนที่ไปไม่หยุด ฉันก็เลยไม่จำเป็นต้องทำ!”

น่าสนใจใช่ไหมกับการที่พวกเราบางคนรู้สึกว่าเราต้องได้รับ “อนุญาต” ที่จะหยุดงานเพื่อหยุดพัก แต่นั่นคือสิ่งที่พระเจ้าผู้ประเสริฐทรงมอบให้เรา! พระเจ้าใช้เวลาหกวันในการสร้างโลกให้ดำรงอยู่ ทรงทำให้เกิดความสว่าง แผ่นดินพันธุ์พืช สัตว์ และมนุษย์ จากนั้นในวันที่เจ็ดพระเจ้าทรงหยุดพัก (ปฐก.1:31-2:2) ในบัญญัติสิบประการพระเจ้าทรงกำหนดกฎเกณฑ์ของพระองค์สำหรับ

การดำเนินชีวิตอันดีพร้อมเพื่อถวายเกียรติแด่พระองค์ (อพย.20:3-17) รวมถึงพระบัญชาให้ระลึกถึงวันสะบาโตเป็นวันแห่งการหยุดพัก (ข้อ 8-11) ในพันธสัญญาใหม่เราเห็นพระเยซูทรงรักษาโรคภัยไข้เจ็บทั้งสิ้นในเมือง (มก.1:29-34) และเช้ามืดวันรุ่งขึ้นก็เสด็จไปอธิษฐานในที่เปลี่ยว (ข้อ 35) พระเจ้าของเราทั้งทรงทำงานและทรงหยุดพักอย่างมีวัตถุประสงค์ การจัดเตรียมของพระเจ้าสำหรับการทำงานและคำเชื้อเชิญของพระองค์ให้หยุดพักนั้นดังก้องเป็นจังหวะอยู่รอบตัวเรา การเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิให้ผลผลิตในฤดูร้อน เก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง และหยุดพักในฤดูหนาว เวลาเช้า เที่ยง บ่าย เย็น และยามค่ำคืน พระเจ้าทรงจัดระเบียบชีวิตของเราให้ทั้งทำงานและหยุดพัก โดยทรงอนุญาตให้เราทำทั้งสองอย่าง

การฟื้นฟูฝ่ายวิญญาณ

แพทย์แผนจีนได้มีการขัดผิวด้วยผงไข่มุกมาเป็นเวลาหลายพันปี โดยใช้ไข่มุกบดเพื่อขจัดเซลล์ที่ตายแล้วบนผิวหนังชั้นนอก ในประเทศโรมาเนียโคลนบำบัดเพื่อการฟื้นฟูได้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ขัดผิวซึ่งเป็นที่ต้องการอย่างแพร่หลาย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์และเปล่งปลั่ง ผู้คนทั่วโลกต่างใช้วิธีดูแลร่างกายที่พวกเขาเชื่อว่าจะช่วยฟื้นฟูกระทั่งผิวที่หมองคล้ำที่สุดได้

อย่างไรก็ตาม เครื่องมือที่เราพัฒนาขึ้นเพื่อดูแลรักษาร่างกายของเรา ทำได้เพียงนำความพึงพอใจมาให้เราแค่ชั่วคราวเท่านั้น สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือการที่เรายังคงมีสุขภาพฝ่ายวิญญาณที่ดีและเข้มแข็ง ในฐานะผู้เชื่อในพระเยซู เราได้รับของประทานแห่งการฟื้นฟูฝ่ายวิญญาณโดยทางพระองค์ อัครทูตเปาโลกล่าวว่า “ถึงแม้ว่ากายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป แต่จิตใจภายในนั้นก็ยังคงจำเริญขึ้นใหม่ทุกวัน” (2คร.4:16) ความท้าทายที่เราเผชิญแต่ละวันอาจทำให้รู้สึกหนักอึ้งในยามที่เรายึดเกาะสิ่งต่างๆไว้ เช่น ความกลัว ความเจ็บปวดและความวิตกกังวล การฟื้นฟูในฝ่ายวิญญาณจะเกิดขึ้นเมื่อเรา “ไม่ได้เห็นแก่สิ่งของที่เรามองเห็นอยู่ แต่เห็นแก่สิ่งของที่เรามองไม่เห็น” (ข้อ 18) เราทำสิ่งนี้ด้วยการมอบความกังวลในแต่ละวันไว้กับพระเจ้า และทูลขอผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งรวมถึงความรัก ความปลาบปลื้มใจและสันติสุข ให้เกิดขึ้นใหม่ในชีวิตของเรา (กท.5:22-23) เมื่อเราปล่อยวางปัญหาไว้กับพระเจ้าและยอมให้พระวิญญาณของพระองค์ส่องสว่างผ่านเราทุกวัน พระองค์จะทรงฟื้นฟูจิตวิญญาณของเรา

ได้รับความพึงใจ

ในคอลัมน์คำแนะนำจากจิตแพทย์ เขาตอบผู้อ่านที่ชื่อเบรนด้าซึ่งคร่ำครวญว่าความทะเยอทะยานของเธอนั้นทำให้เธอรู้สึกไม่พึงใจ เขาตอบแบบขวานผ่าซากว่า มนุษย์ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้มีความสุข “แต่เพื่ออยู่รอดและขยายเผ่าพันธุ์เท่านั้น” เราถูกสาปให้ไล่ติดตาม “ผีเสื้อที่หายากและเย้ายวน” แห่งความพึงพอใจ เขาเสริมว่า “ไม่ใช่ว่าจะจับมันได้เสมอไป”

ผมสงสัยว่าเบรนด้ารู้สึกอย่างไรเมื่ออ่านคำพูดของจิตแพทย์ที่เชื่อว่าไม่มีคุณความดีใดๆอยู่เลย และเธอจะรู้สึกต่างออกไปอย่างไรเมื่อได้อ่านสดุดี 131 ในคำกล่าวของกษัตริย์ดาวิดได้ให้แนวทางในการใคร่ครวญกับเราว่าจะค้นหาความพึงพอใจได้อย่างไร พระองค์เริ่มด้วยท่าทีซึ่งถ่อมใจ วางความทะเยอทะยานอย่างกษัตริย์ลง และในขณะที่กำลังปล้ำสู้กับคำถามสำคัญของชีวิตนั้น พระองค์ก็วางเรื่องเหล่านั้นลงด้วยเช่นกัน (ข้อ 1) จากนั้นพระองค์สงบใจของตนจำเพาะพระเจ้า (ข้อ 2) มอบอนาคตไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ (ข้อ 3) ผลลัพธ์ที่ได้นั้นช่างงดงาม “อย่างเด็กที่หย่านมแล้วสงบอยู่ที่อกมารดาของตน” พระองค์กล่าวว่า “จิตใจของข้าพระองค์สงบอยู่ภายใน” (ข้อ 2)

ในโลกที่แตกสลายเหมือนโลกของเรานั้น บางครั้งความพึงใจก็ยากที่จะหาพบได้ ในฟีลิปปี 4:11-13 อัครทูตเปาโลกล่าวว่าความพึงใจเป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้ แต่ถ้าเราเชื่อว่าเราถูกออกแบบมาเพื่อ “อยู่รอดและขยายพันธุ์” เท่านั้นความพึงใจจะเป็นเหมือนกับผีเสื้อที่ไม่มีใครจับได้อย่างแน่นอน แต่ดาวิดสำแดงให้เราเห็นอีกหนทางหนึ่งในการรับความพึงพอใจ โดยผ่านการพักสงบในการทรงสถิตของพระเจ้า

พี่เซาโล

“พระองค์เจ้าข้า โปรดส่งข้าพระองค์ไปที่ใดก็ได้ยกเว้นที่นั่น” นั่นคือคำอธิษฐานของผมตอนเป็นวัยรุ่น ก่อนที่จะยื่นเรื่องไปเรียนต่างแดนในฐานะนักเรียนแลกเปลี่ยนหนึ่งปี ผมไม่รู้ว่าควรจะไปที่ไหน แต่รู้ว่าไม่อยากไปที่ไหน ผมพูดภาษาของประเทศนั้นไม่ได้ และใจของผมเต็มไปด้วยอคติต่อประเพณีและผู้คนที่นั่น ดังนั้นผมจึงขอให้พระเจ้าทรงส่งผมไปที่อื่น

แต่โดยพระปัญญาอันไม่สิ้นสุดของพระเจ้า พระองค์ทรงส่งผมมายังสถานที่ที่ผมขอว่าจะไม่ไป ซึ่งผมดีใจมากที่พระองค์ทรงทำเช่นนั้น! เพราะสี่สิบปีต่อมา ผมยังมีเพื่อนๆที่รักในดินแดนนั้น เมื่อผมแต่งงาน สเตฟานเพื่อนเจ้าบ่าวก็มาจากที่นั่น เมื่อเขาแต่งงาน ผมก็บินไปที่นั่นเพื่อเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวให้เขา และเรากำลังวางแผนการที่จะไปเยือนอีกครั้งในเร็วๆนี้

สิ่งสวยงามเกิดขึ้นเมื่อพระเจ้าทำให้จิตใจเปลี่ยนแปลง! การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวแสดงให้เห็นด้วยคำพูดแค่สองคำ “พี่เซาโล” (กจ.9:17)

คำพูดนั้นมาจากอานาเนีย ผู้เชื่อที่พระเจ้าทรงเรียกให้รักษาตาของเซาโลทันทีหลังจากที่ท่านกลับใจ (ข้อ 10-12) อานาเนียขัดขืนในตอนแรก เพราะการกระทำรุนแรงของเซาโลในอดีต โดยทูลอธิษฐานว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์ได้ยินหลายคนพูดถึงคนนั้นว่า เขาได้ทำร้ายวิสุทธิชนของพระองค์” (ข้อ 13)

แต่อานาเนียเชื่อฟังและเดินทางไป และเพราะเขาเปลี่ยนแปลงจิตใจ อานาเนียได้พี่ชายคนใหม่ในความเชื่อ เซาโลกลายเป็นที่รู้จักในนามเปาโล และข่าวประเสริฐของพระเยซูก็แพร่ออกไปด้วยฤทธิ์เดช โดยพระองค์การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงนั้นเป็นไปได้เสมอ!

ถอนรากความบาป

เมื่อฉันสังเกตเห็นกิ่งก้านเล็กๆแตกหน่ออยู่ข้างท่อน้ำในสวนข้างระเบียง ฉันเพิกเฉยต่อสิ่งนี้ที่ดูไม่เป็นอันตราย วัชพืชเล็กๆจะทำอันตรายสนามหญ้าของเราได้อย่างไร แต่หลายสัปดาห์ต่อมา สิ่งรบกวนนี้ก็เติบใหญ่ขึ้นจนมีขนาดเท่าพุ่มไม้เล็กๆ และเริ่มเข้ามายึดครองสนามหญ้าของเรา กิ่งก้านของมันพันเลื้อยโค้งขึ้นไปเหนือทางเดินของเราและแตกแขนงในพื้นที่อื่นๆ ฉันต้องยอมรับว่าการดำรงอยู่ของมันเป็นอันตราย ฉันจึงขอให้สามีช่วยขุดรากถอนโคนวัชพืชป่านี้ แล้วก็ปกป้องสวนของเราด้วยยาฆ่าวัชพืช

เมื่อเราเพิกเฉยหรือปฏิเสธการมีอยู่ของบาป บาปก็จะรุกคืบเข้าสู่ชีวิตของเราได้เหมือนกิ่งไม้ซึ่งไม่เป็นที่ต้องการนี้ที่เจริญเติบโตมากเกินไป และทำให้พื้นที่ส่วนตัวของเรามืดมน พระเจ้าของเราผู้ทรงปราศจากบาปนั้นไม่ทรงมีความมืดในพระองค์...เลย ในฐานะบุตรของพระองค์ เราได้รับการตระเตรียมและมอบหมายให้ต่อต้านบาปตรงหน้าเพื่อที่เราจะสามารถ “ดำเนินอยู่ในความสว่าง เหมือนอย่างพระองค์ทรงสถิตในความสว่าง” (1 ยน.1:7) โดยการสารภาพบาปและกลับใจใหม่ เราก็ได้รับการอภัยและเป็นอิสระจากบาป (ข้อ 8-10) เพราะเรามีผู้ทูลขอพระบิดาเพื่อเรา คือพระเยซู (2:1) ผู้ทรงเต็มพระทัยจ่ายราคาสูงสุดเพื่อบาปของเรา คือด้วยพระโลหิตของพระองค์ และ “ไม่ใช่แต่บาปของเราพวกเดียว แต่ของมนุษย์ทั้งปวงในโลกด้วย” (ข้อ 2)

เมื่อพระเจ้าทรงชี้ให้เราเห็นบาปนั้น เราอาจเลือกที่จะปฏิเสธ หลีกเลี่ยง หรือบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบได้ แต่เมื่อเราสารภาพและกลับใจใหม่ พระองค์จะทรงถอนรากความบาปที่ทำลายความสัมพันธ์ของเรากับพระองค์และผู้อื่นไปเสีย

เราไม่ได้อยู่ลำพัง

ในเรื่องสั้นแนวระทึกขวัญของเฟรดริก บราวน์ชื่อ “เคาะ” เขาเขียนไว้ว่า “มนุษย์คนสุดท้ายบนโลกนั่งอยู่คนเดียวในห้อง ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตู” เอ๊ะ! ใครกันและพวกเขาต้องการอะไร สิ่งมีชีวิตลึกลับใดที่มาหาเขา ชายผู้นี้ไม่ได้อยู่ลำพัง เราเองก็เช่นกัน

คริสตจักรเมืองเลาดีเซียได้ยินเสียงเคาะที่ประตูของพวกเขา (วว.3:20) ผู้ใดกันที่มีฤทธิ์เดชเหนือธรรมชาติที่ได้มาหาพวกเขา นามของพระองค์คือพระเยซูผู้ทรง “เป็นเบื้องต้นและเป็นเบื้องปลาย...เป็นผู้ที่ดำรงชีวิตอยู่” (1:17-18) พระเนตรของพระองค์ดุจเปลวเพลิง และพระพักตร์ของพระองค์ “ดุจดังดวงอาทิตย์ที่ฉายแสงกล้า” (ข้อ 16) เมื่อยอห์นสหายสนิทได้เห็นพระสิริของพระองค์ ท่านก็ “ล้มลงแทบพระบาทของพระองค์เหมือนกับคนที่ตายแล้ว” (ข้อ 17) ความเชื่อในพระคริสต์นั้นเริ่มต้นด้วยความยำเกรงพระเจ้า

เราไม่ได้อยู่ลำพัง และสิ่งนี้ก็ปลอบโยนเราด้วย พระเยซูทรง “เป็นแสงสะท้อนพระสิริของพระเจ้า และทรงมีสภาวะเป็นพิมพ์เดียวกันกับพระองค์ และทรงผดุงโลกไว้ด้วยพระดำรัสอันทรงฤทธิ์ของพระองค์” (ฮบ.1:3) แต่กระนั้นพระคริสต์ไม่ได้ทรงใช้ฤทธิ์อำนาจนั้นประหัตประหารเรา แต่เพื่อที่จะรักเรา ให้เราฟังคำเชิญของพระองค์ “นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าผู้ใดได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปหาผู้นั้นและจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา” (วว.3:20) ความเชื่อของเราเริ่มต้นด้วยความเกรงกลัวว่ามีใครบางคนอยู่ที่ประตู แล้วจบลงด้วยการต้อนรับและอ้อมกอดอันเข้มแข็ง พระเยซูทรงสัญญาว่าจะอยู่กับเราเสมอ แม้ว่าเราจะเป็นคนสุดท้ายในโลกนี้ ขอบคุณพระเจ้าที่เราไม่ได้อยู่ลำพัง

การอบรมในทางธรรม

ช่วงปลายยุคปี 1800 ผู้คนในที่ต่างๆได้พัฒนาวิธีในการทำพันธกิจที่คล้ายคลึงกันในช่วงเวลาเดียวกัน ครั้งแรกคือในปี 1877 ที่เมืองมอนทรีออล แคนาดา อีกแนวคิดหนึ่งเริ่มขึ้นที่นครนิวยอร์กในปี 1878 โดยภายในปี 1922 มีการดำเนินโครงการไปราวห้าพันโครงการทุกช่วงฤดูร้อนในทวีปอเมริกาเหนือ

ประวัติศาสตร์ยุคแรกของค่ายฝึกอบรมพระคัมภีร์ภาคฤดูร้อน(ฝคร.)จึงเริ่มต้นขึ้น ภาระใจอันแรงกล้าที่กระตุ้นผู้บุกเบิกค่ายฝคร. คือความปรารถนาที่อยากให้คนหนุ่มสาวรู้จักพระคัมภีร์

เปาโลมีภาระใจในทำนองเดียวกันต่อทิโมธีคนหนุ่มซึ่งอยู่ในการดูแลของท่าน โดยกล่าวว่า “พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า” และเตรียมเราให้ “พรักพร้อมที่จะกระทำการดีทุกอย่าง” (2 ทธ.3:16-17) แต่นี่ไม่ใช่แค่คำแนะนำอย่างใจดีว่า “เป็นการดีที่เราจะอ่านพระคัมภีร์” คำแนะนำของเปาโลนี้อยู่ต่อจากคำเตือนที่น่ากลัวว่า “ในสมัยจะสิ้นยุคนั้น จะเกิดเหตุการณ์กลียุค” (ข้อ 1) และมีผู้สอนเท็จที่ทำให้ “ไม่อาจที่จะเข้าถึงหลักความจริงได้เลย” (ข้อ 7) จึงจำเป็นที่เราจะต้องปกป้องตนเองด้วยพระคัมภีร์ เพราะพระคัมภีร์ทำให้เราซึมซับความรู้ในเรื่องพระผู้ช่วยให้รอด ซึ่งทำให้เรา “มีปัญญา ที่จะมาถึงความรอดได้โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์” (ข้อ 15 TNCV)

การศึกษาพระคัมภีร์ไม่ได้มีไว้สำหรับเด็กเท่านั้น แต่สำหรับผู้ใหญ่ด้วย และไม่ใช่สำหรับฤดูร้อนเท่านั้น แต่สำหรับทุกวัน เปาโลเขียนถึงทิโมธีว่า “ตั้งแต่เด็กมาแล้ว ที่ท่านได้รู้พระคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์” (ข้อ 15) และไม่เคยสายเกินไปที่จะเริ่มต้น ไม่ว่าเราจะอยู่ในช่วงใดของชีวิต สติปัญญาในพระคัมภีร์จะเชื่อมโยงเรากับพระเยซู นี่คือบทเรียน ฝคร.ของพระเจ้าสำหรับเราทุกคน

นิ่งสงบต่อพระพักตร์พระเจ้า

ภาพถ่ายภาพแรกที่เป็นรูปบุคคลนั้นถ่ายโดยหลุยส์ ดิแกร์ในปีค.ศ. 1838 ในภาพมีเพียงชายคนเดียวบนถนนที่ว่างเปล่าในกรุงปารีสยามบ่าย แต่ภาพนั้นดูมีความลึกลับที่ซ่อนอยู่ ถนนและทางเท้าควรจะพลุกพล่านไปด้วยการจราจรของรถม้าและผู้คนที่เดินไปมาในช่วงเวลานั้นของวัน แต่กลับไม่สามารถเห็นสิ่งเหล่านั้นได้

ชายคนนั้นไม่ได้อยู่ตามลำพัง มีผู้คนและม้ามากมายอยู่ที่นั่นบนถนนบูเลอวาร์ด ดู เทมเปิลอันยุ่งเหยิง ซึ่งเป็นสถานที่ยอดนิยมที่ใช้ถ่ายภาพนี้ สิ่งเหล่านั้นเพียงแค่ไม่ได้ปรากฏขึ้นบนภาพ เวลาในการเปิดรับแสงของกระบวนการถ่ายภาพ(ที่เรียกว่าดิแกโรไทป์) ต้องใช้เวลาถึงเจ็ดนาทีเพื่อบันทึกภาพ ซึ่งทุกสิ่งจำเป็นต้องหยุดนิ่งในระหว่างนั้น การที่มีเพียงชายบนทางเท้าคนเดียวที่ปรากฏบนภาพนั้น ก็เพราะเขาเป็นสิ่งเดียวที่ยืนนิ่ง เขากำลังยืนให้คนขัดรองเท้าบูทให้

บางครั้งการนิ่งสงบก็ทำให้เกิดความสำเร็จขณะที่การเคลื่อนไหวและความพยายามไม่สามารถทำได้ พระเจ้าทรงบอกประชากรของพระองค์ในพระธรรมสดุดี 46:10 ว่า “จงนิ่งเสียและรู้เถอะว่า เราคือพระเจ้า” แม้เมื่อประชาชาติ “อลหม่าน” (ข้อ 6) และ “แผ่นดินโลก” สั่นไหว (ข้อ 2) ผู้ที่วางใจในพระเจ้าด้วยความนิ่งสงบจะค้นพบพระองค์ ผู้ทรงเป็น “ความช่วยเหลือที่พร้อมอยู่ในยามยากลำบาก” (ข้อ 1)

ในภาษาฮีบรูคำว่า “นิ่งสงบ” สามารถแปลอีกแบบหนึ่งว่า “หยุดดิ้นรน” เมื่อเราพักพิงในพระเจ้าแทนที่จะพึ่งพาความพยายามที่มีขีดจำกัดของเรา เราจะพบว่าพระองค์ทรงเป็น “ที่ลี้ภัยและกำลัง” (ข้อ 1) ของเราที่ไม่มีสิ่งใดจะโจมตีได้

เกมแห่งการเปลี่ยนแปลง

การจับมือกันได้ป่าวประกาศถึงความหมายในตัวเอง คืนหนึ่งของเดือนมีนาคม ปีค.ศ. 1963 นักบาสเก็ตบอลระดับวิทยาลัยสองคน คนหนึ่งผิวดำ คนหนึ่งผิวขาว ได้ท้าทายความเกลียดชังของกลุ่มคนที่เหยียดสีผิวด้วยการจับมือกัน นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของรัฐมิสซิสซิปปี้ที่ทีมคนผิวขาวแข่งกับทีมที่มีคนผิวดำร่วมด้วย เป็นการแข่งขันใน “เกมแห่งการเปลี่ยนแปลง” กับทีมจากมหาวิทยาลัยโลโยล่าชิคาโกในการแข่งขันระดับประเทศ ทีมของรัฐมิสซิสซิบปี้หลีกเลี่ยงคำสั่งห้ามของศาลที่ต้องการจะหยุดพวกเขา โดยการใช้ผู้เล่นที่เป็นตัวหลอกเพื่อจะสามารถเดินทางออกนอกรัฐได้ ในขณะเดียวกันผู้เล่นผิวดำของทีมโลโยล่าต้องทนกับการเหยียดสีผิวในตลอดฤดูการแข่งขัน ทั้งถูกขว้างปาด้วยข้าวโพดคั่วและน้ำแข็ง และการปิดกั้นตลอดการเดินทาง

แต่คนหนุ่มเหล่านั้นยังคงลงแข่ง ทีมโลโยล่าแรมเลอร์เอาชนะทีมมิสซิสซิบปี้สเตทบูลด๊อก 61 ต่อ 51 และทีมโลโยล่ายังได้เป็นแชมป์ของสมาคมกีฬาระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ แต่ชัยชนะที่แท้ในคืนนั้นคืออะไร คือการเปลี่ยนจากความเกลียดชังมาสู่ความรัก เช่นเดียวกับที่พระเยซูทรงสอน “จงรักศัตรูของท่าน จงทำดีแก่ผู้ที่เกลียดชังท่าน” (ลก.6:27)

คำสอนของพระเจ้าเป็นแนวคิดของการเปลี่ยนแปลงชีวิต ในการรักศัตรูเหมือนกับที่พระคริสต์ทรงสอนนั้น เราต้องเชื่อฟังคำสั่งของพระองค์เพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงได้ ดังที่เปาโลเขียนไว้ว่า “ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆก็ล่วงไป นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น” (2คร.5:17) แต่วิถีใหม่ของพระองค์ในตัวเราจะเอาชนะตัวเก่าได้อย่างไร ก็ด้วยความรัก และเมื่อนั้นเราจะสามารถเห็นพระองค์ในตัวเราแต่ละคนได้ในที่สุด

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา